just watched '5x2' by monsieur Francois Ozon today afternoon
it invites me to investigate the couple's relationship...how the divorce comes? ?
many details on the way of both him n' her...though they don't cause a big issue/problem to the couple at that very time, they don't disappear...lie at the bottom of their hearts
daysssss passed, trouble after trouble.....comes to the unhappy ending.
very true in the modern planet...
many marriages are like that
human like to think on the optimistic side of everything because it is good feeling, it makes us feel comfortable to know...to accept
but often, the truth is much more depressed than we want it to be
the film is not so gloomy that..oh..i will think over for a thousand times before getting married
it's blue beautiful together
...fidelity,trust,gay...perplexly complicate matters
หนังจริงกับเราขึ้นไปอีก เมื่อหนังพาเราเหลียวย้อนมองความสัมพันธ์ในชีวิตของเราเอง
ที่จริง แม้ไม่ใช่ชีวิตคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาความแตกร้าวจะไม่มี
...นึกถึงปรัชญาจีนที่อ่านไป จำมากเลยที่บอกประมาณว่า เมื่อเราได้พบใครคนหนึ่ง เราได้ความแยกจากติดมาด้วย เมื่อเราได้การเกิดมาครั้งหนึ่ง เราได้การตายติดมาด้วย เมื่อเราได้แก้วมาใบหนึ่ง เราได้ความแตกของแก้วนั้นมาด้วย
เรื่องของเรื่องคือ เวลาที่เราได้แก้วมา เราได้ทันตระหนักถึงการแตกที่ติดแก้วมาเสียเมื่อไหร่
แล้วเราก็ช้ำร่ำไปเมื่อแก้วแตก
เราไม่เคย จำ หลัง เจ็บ ที่ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกแล้ว เสียที
การประคับประคองความสัมพันธ์ให้ข้ามผ่านบททดสอบแห่งกาลนั้นบีบคั้นหัวใจแทบแบนบี้
ในช่วงประเดี๋ยวนั้นของแต่ละเหตุการณ์ ความคิดหน้าคิดหลัง คิดอดีตคาดอนาคต คิดกรองคิดทวน...ไม่อยู่เสียแล้ว (และก็ชอบกลับมาเมื่อสาย)(สงสัยตื่นเช้าไม่ทัน อารมณ์เลยแย่งบทไปคุมได้ทุกครั้งไป)
เหมือนคุ้ยค้นสมบัติส่วนตัวสมัยก่อน....เพิ่งมาคิดเหมือนกันว่าท่าทีเราต่อคนใกล้ตัวคนหนึ่ง ทำไมถึงได้มาลงเอยแบบนี้
ที่เค้นใจไปกว่านั้น เราเองก็รู้ตัวดีว่าการปฏิบัติที่เราตอบออกไปมันเปลี่ยนลงไป
ที่เลวร้ายใจไปกว่านั้น เราเกรงว่าการคุ้ยค้นแล้วดันพบต้นตอการกระทำเหล่านี้ มันจะย้อนมาตีแสกหน้าว่า...เราผิดค่อนประตู
เรายอมรับได้แหละ แม้จะเหลือความถูกอยู่กับตัวเพียงเสี้ยวประตู
แต่
ยังไงไม่รู้....ความผิดนี้ ถ้ายกกรอบ'ความคิดที่ควรคิด'ออกไป เราว่ามันก็ไม่ผิดเลยเสียทีเดียว
ให้สวมสร้อยย้อนเวลาแบบเฮอร์ไมโอนี่กลับไปแก้ไขใหม่ เราก็จะทำเหมือนเดิม
บางที เรื่องนี้อาจไม่ใช่การมองในแง่ ถูก หรือ ผิด
แต่อาจต้องหยิบยกความสมควรมาประกอบก็ได้ (ละมัง)
หรือเราอาจจะคิดลำเอียงเอนหาตัวเองไปก็ได้ (ละมัง)
ยิ่งชีวิตกินเวลาเข้าไป เรายิ่งมีทัศนะที่เข้าใจความชั่วร้ายของมนุษย์มากขึ้น แฮะ(เข้าใจถูกผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง) ความแข็งกร้าวต้านด้านมืดค่อยๆอ่อนงอเป็นความเมตตาอ้ารับความมืดแทน
ความเลวมีเสน่ห์กว่าความดีซะด้วยซ้ำไป (ไม่เสมอไป)
...
ซุ่นจื๊อบอกว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นเลวร้าย
..
Hukkleberry Finn พิสมัยนรกกว่าสวรรค์เป็นไหนๆ
.
~~พอและ ยิ่งเขียน ความคิดยิ่งกระจายระโยงระยางพัลวันไม่สุดสิ้น
...นี่คงจะเป็นผลงานของ stream of consciousness อีกแล้วสินะ
2:09 AM 10/4/2006