Space and Time : Yi Fu Tuan
--สถานที่ : Space หรือ Place?--
+ ความเป็นสถานที่
การจับจองพื้นที่ เราไม่ได้เข้าถึงพื้นที่ข้างเดียว มันมี attachment กับพื้นที่ รักผูกพันกับพื้นที่
+ มีเรื่อง ความหวงแหน เป็นส่วนตัวขึ้นมา
โลกตะวันออกเน้นความเป็นส่วนรวม ความสัมพันธ์ระหว่างกัน
โลกตะวันตกอิทธิพลความปัจเจก
+ การเปลี่ยนที่มันทำให้ feel insecure .. มีผลต่อเรื่องมโนทัศน์ด้วย ex. คนย้ายบ้านบ่อยมีแนวคิดไม่เหมือนคนไม่เคยย้ายบ้าน คนย้ายบ้านบ่อยยึดติดน้อยลง
การติดกับพื้นที่มีผลต่อการสร้างประสบการณ์ของมนุษย์
+ กิจกรรมเพื่อสร้าง ‘ความหมาย’ ให้กับสถานที่ ex. การ สร้าง กับ เช่า บ้าน, ถ้าสร้างเราจะทำตกแต่ง
ให้มีความหมาย
‘What begins as undifferentiated space becomes place as we get to know it better and
endow it with value.’
Yi Fu Tuan
Space เป็น place ต่อเมื่อมีความหมาย มีเรื่องการเป็นส่วนตัว
องค์ประกอบของสถานที่+ location : ตำแหน่ง
+ locale : จุดที่ตั้ง ex. บ้าน อนุสาวรีย์ รูปปั้น ต้นไม้
+ sense of place : มีการให้ความหมาย
สถานที่ในฐานะที่เป็นวิธีเข้าใจ culture
+ สถานที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่วัตถุ
+ เรามีความผูกพัน มีประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับสถานที่
+ สถานที่สัมพันธ์กับการประกอบสร้างของสังคมและวัฒนธรรม
--Placelessness ภาวะไร้สถานที่--
เกิดจากความรู้สึกไม่สามารถสร้างความผูกพัน ความคุ้นเคยกับสถานที่ได้
หรือสร้างความหมายในพื้นที่นั้นออกมาได้
ทำไมจึงรู้สึกไร้สถานที่?
อิทธิพลจาก
- การย้ายถิ่น
- การท่องเที่ยว
(สถานที่เป็นเรื่องของหน้าตา, ความเป็นชุมชนน่าอยู่ด้วย)
เกิด commodification (การทำสถานที่ให้เป็นสินค้า) ไม่ได้เกี่ยวกับสารัตถะของสถานที่
(ex. วัดพระแก้วบางทีการทำพิธีกรรมก็เป็นแค่สัญลักษณ์) การที่สถานที่หลุดจากความหมาย
กลายเป็นสินค้า
- วัฒนธรรมมวลชน (mass culture) พยายามทำทุกที่ในโลกให้มีวัฒนธรรมเดียวกัน
ทำให้ภาวะไร้สถานที่ คือไปที่ไหนก็งงๆ มันก็เหมือนกันหมด à แต่ในความเหมือนก็สะท้อน
ความไม่เท่าเทียมกัน ข้อดีคือทุกอย่างทำให้เป็นมาตรฐาน กรณีที่เรา lost in translation
(อาจารย์คิดว่าที่จริงแล้วคนรับความแปลกใหม่ แปลกแยกได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น)
แต่
เรารู้สึกไม่ belong เพราะมันเริ่มเหมือนกันหมด ทำให้คนรู้สึก sense of place น้อยลง
รู้สึกเราไม่เป็นส่วนหนึ่งกับพื้นที่ตรงนั้น ยิ่งในเมืองที่คนรอบข้างเยอะแต่ไม่มีใครรู้จักเรา
ความใกล้ชิดทางกายภาพไม่ได้เป็นความใกล้ชิดทางจิตใจเสมอไป
ทุกคนต่างมีความปรารถนา/ความเหงา แต่มันถูกintensifyเพราะคนรอบข้างที่ไม่มีใครเข้าใจเรา
ex.โรงพยาบาล สนามบิน
--การมองสถานที่แบบขนบ--
- ความผูกพันระหว่างสถานที่กับอัตลักษณ์แบบหนึ่งเดียว
- ความปรารถนาที่จะเสนอให้เห็นว่าสถานที่นั้นมีรากเหง้าในทางประวัติศาสตร์
เราจะเห็นว่าประวัติศาสตร์ไทยมีลักษณะเป็นเส้นตรง(แบบไม่มีขุยด้วย) oppressive
ปิดกั้นเรื่องต่างๆ ปิดความขัดแย้ง
- การแสดงให้เห็นว่าสถานที่มีรั้วรอบขอบเขตชัดเจน
--การมองสถานที่แบบใหม่--
- การพิจารณาว่าสถานที่ไม่ได้หยุดนิ่งตายตัว สถานที่เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- การพิจารณาว่าสถานที่เป็นพื้นที่ที่มีการปะทะสังสรรค์อันหลากหลาย (เรามีทาทา ยุ้ย จิรนันท์..)
อย่ามองประวัติศาสตร์เป็นเส้นตรง มันมีความหลากหลายของเรื่องเล่า à นี่คือแง่ race ยังมีแง่ class
ex. เรามองทักษิณจากสายตาชนชั้นกลาง กระทั่งพื้นที่ เรามองจากพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง genderที่
หลากหลาย ผู้ชายผู้หญิงมองสถานที่ไม่เหมือนกัน
- การพิจารณาว่าสถานที่รองรับการประกอบสร้างอัตลักษณ์อันหลากหลาย สถานที่อาจสร้างมาด้วย
จุดประสงค์หนึ่ง แต่การใช้จริงอาจถูกใช้ไปหลากหลายตามชนชั้น gender..
Featuring: Paris, je t’aime
ความเป็นเมืองมาพร้อมความแตกต่าง แต่ก็มีความเหงาที่ต้องจ่ายแทน
เมืองในขณะเดียวกันก็เหมือนคุกที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารกับคนรอบข้าง
การสร้างภาวะ aesthetic ให้กับ loneliness (ความเปลี่ยวเหงา)
เศร้าที่ไม่สามารถเชื่อมโยงกับคนอื่นได้