pear personal sphere
to close too see.
Wednesday, November 29, 2006
5.
From: "Chilala DdapZ~"
To: pearpee@hotmail.com
Subject: แพรวา ชื่อน่ารักออก
Date: Wed, 29 Nov 2006
ไม่มีผ่อนผันอ่ะ
เพราะมันเคยโดนมาก่านหน้านี้แล้ว 10 เม็ดมั้ง
แต่มันไม่เล่นยาน่ะ มันขายอย่างเดียว
ส่วนงานแต่งตั้มไป งานหมั้นไม่ได้ไปวันนั้นไม่สบาย อดกินเหล้าเลย - -
ไม่มาเที่ยวงานต้นไม่ ที่เชียงใหม่เหรอ (เขียนราดชะพึก ไม่เป็นอ่ะ - -)
หนาวแล้วดูแลสุขภาพด้วยเน้อ เออ..... แกไมมีเรื่องแกจะเล่ามั้งเหรอ หือ ?
^^
ไฟโตะ !!
From: pearpee
To: "Chilala DdapZ~"
Subject: มันไม่ใช่เรื่องว่าชื่อมันน่ารักหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ว่าชั้นไม่ได้ชื่อนี้...
แล้วชั้นก็ไม่อนุญาตให้แก(เฉพาะแกเลย)มาตั้งชื่อให้ชั้นใหม่ด้วย!
อ๋อ นี่แกไปงานแต่งงานหมั้นเพื่อนนี่ไม่ได้ไปด้วยอาการอยากแสดงความยินดีเลยใช่มั้ย
สมอง(ไมใช่สิ แกไม่มีนี่หว่า) ในหัวแกมีแต่เหล้าเหม็นหึ่งเลยใช่มั้ยเนี่ย
เดี๋ยวถ้ามางานชั้นนะ จะมีแต่นมให้กินซะเลย
งานต้นไม้หนะเหรอ เคยอยากอยู่นะจนมันหายอยากไปซะแล้ว
อยากไปดอยเชียงดาวมากกว่า(อันนี้อยากไปมากกกกกกก แล้วก็ไม่หายอยากซักทีด้วย
เริ่มอยากอย่างจริงจังมาตั้งแต่พ.ย.ปีที่แล้วแล้ว)
กรุงเทพไม่เห็นหนาวเลยหวะ ชั้นว่าถ้ามันหนาวจริงๆนะ เชียงใหม่หิมะตกไปแล้ว
นี่ถ้าไม่มีพัดลมนะ คนเค้าคงนึกว่าชั้นฉี่ราด(นอนเหงื่อแตก)
...เรื่องของชั้นเหรอ..."แล้วแกมาแส่เรื่องชั้นทำม๊าย!!!!"
~~~~ล้อเล่น นะ
อืม ม มม เอาเรื่องนี้ไปแล้วกัน ล่าสุดมาก ขนาดไทยรัฐยังไม่รู้เลย 55
เราจะไปเข้าค่ายของอัมรินทร์(รู้จักมั้ยเนี่ย)สุดสัปดาห์หน้า .
พอดีเขียนบทความส่งไปแล้วเค้าเลือกหนะ (แกจะว่ายินดีด้วยใช่มั้ยหละ ขอบใจนะแต่ไม่มีเหล้าให้มึงหรอก)
ไว้ไปแล้วเป็นไงค่อยเล่าให้ฟัง
แพร.(ไม่ต้องวาเลยนะ)
Tuesday, November 28, 2006
สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดระยะนี้คือ การคิดไปเอง.
จะหมายความว่าอย่างไรดี การคิดล่วงหน้า?การจินตนาการที่ลอยตัวจากเหตุผล?
แน่นอนว่าการคิดไปเองสามารถสร้างผลได้ทั้งในด้านบวกและด้านลบ
แต่ว่า คนเรามักจะใช้มันไปในด้านลบหรือเปล่าเอ่ย????*
ลองคิดดูนะ
* ประโยคทำนองนี้ทำให้ฉันรู้สึกเสมอเลยว่าผู้เขียนมีความเห็น'ใช่'ไปกับประโยคนั้นซะมากกว่า
ดังนั้นแล้วฉันจึงพยายามค้านความคิดตัวเองไว้ด้วยพร้อมๆกันว่าอาจจะไม่ก็ได้....
วันนี้มันเริ่มขึ้นอย่างเพี้ยนๆพิกล หวะ.
Monday, November 27, 2006
5.
From: "Chilala DdapZ~"
To: pearpee
นี่ตกลง ฮันผิดใช่ไหมเนี๊ยะ โทรหาจะเป็นเดือนแล้ว
ไม่เชื่อถาม วิรา โทรไปถาม วิรา มาสองรอบแล้วว่า ท่าน เปลี่ยนเบอร์เหรอ
จน วิรา เบื่อแล้ว อ่ะ
แล้ว writing แบบ intensive คือไรอ่ะ งง
From: pearpee
To: "Chilala DdapZ~"
อ้าว โทรมาจะเป็นเดือนแล้วเหรอ
ก็ไม่เห็นบอกตั้งแต่แรกหนิยะ ใครเค้าจะไปตรัสรู้กะคุณเธอหละ
(คือยังไงกูก็ไม่ยอมผิดแหละ 55)
writing แปลว่าการเขียน intensive แปลประมาณว่าแบบเข้มข้นไรเงี้ย
แล้วทำไมชั้นต้องมาอธิบายให้แกฟังด้วยเนี่ย ที่บ้านไม่มีdictionaryหรือไง
(นี่อย่าบอกนะว่าคำว่าดิกชั่นนารี่ก็ยังไม่รู้อีกอ่ะ)
รู้จักมั้ยการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองหนะ
ให้มันได้งี้สิ คุยกับแกนี่มีแต่เรื่องให้ฉุน
1.
ที่ทำ*ไว้เมื่อวานหมายความจำเพาะภาพยนตร์ในงานแสดงที่ให้ผู้ดูเปิดหนังดูได้จริงๆ ไม่รวมที่เอาภาพยนตร์มาตั้งโชว์ประกอบเฉยๆ
5.
เล็กๆน้อยๆถึงเพื่อนห่ามๆ(แต่มันก็เหลวไหลน้อยลงแหละเราว่า)
'
อ๋อ นี่มึงเพิ่งจะมาถามตอนนี้เหรอ
นี่แสดงว่าหายหัวไปจนเพิ่งมานึกจะโทรหากูเมื่อไม่กี่วันนี้ใช่มั้ย
โห คุณเพื่อนดั๊ม มาหาว่ากูติดต่อไม่ได้เหรอ แล้วนี่พูดจากับผู้หญิงเค้าพูดกันแบบนี้เหรอ
มาเรียกอ่งเรียกไอ่ กูสุภาพนะโว้ย คุณเพื่อนดั๊มควรไปลงคอร์ส writing แบบ intensiveนะขอแนะนำ
เออ จะว่าไปกะจะบอกแกอยู่พอดี (อารมณ์ดีขึ้นนิดนึง เปลี่ยนสรรพนาม)
ว่ามือถือเราหายไปร่วมเดือนแล้ว แต่จะใช้เบอร์เดิมอยู่ รอซื้อเครื่องใหม่ก่อน
ซื้อเมื่อไหร่เหรอ อืม น่าจะปีหน้าแหละไว้จะแจ้งให้ทราบอีกที
ตอนนี้ถ้ามีอะไร ถ้าหุบปากไม่ไหวก็เมวมาหาแล้วกัน
หรือไม่งั้นก็ไปพูดในโอ่งนู่น!
'
1.
คืออย่างนี้ มีศิลปิน(คงได้)ไม่มากนักที่แสดงงานโดยมีส่วนของภาพยนตร์*รวมอยู่ด้วย เท่าที่ผ่านมามีสองเจ้าด้วยกันที่เราเข้าใช้บริการ เจ้าแรกเมื่อ~~ปีก่อนมั๊ง ของคุณ???จำได้ว่าเค้าแจกไดอารี่ที่เล่าประสบการณ์เดินทางด้วยหน้าปกสีส้ม เค้าแบ่งห้องส่วนซ้ายสุดไว้ให้ผู้เข้าชมดูหนังได้ตามใจชอบโดยมีหนังให้เลือกอยู่ราว20 25แผ่น เราก็ไปดูหลายครั้งอยู่เพราะจัดบรรยากาศได้เป็นส่วนตัวมาก ราวกับนั่งดูที่ห้องตัวเองแถมยังมืดได้บรรยากาศโรงหนังนิดๆ ส่วนเจ้าหลังก็ เมื่อเช้านี้เองในงาน platform ส่วนที่เป็นของคุณปรัชญา ก็เป็นส่วนตัวเช่นกันแต่ไม่มืด แต่ตัวเลือกหนังเยอะกว่า ไม่มีความทรงจำอะไรเป็นพิเศษทั้งสองงานนี้ถ้าไม่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกันขึ้นซะก่อน เลยเชื่อมโยงให้สองงานนี้มี'อะไร'ขึ้นมาโดยไม่คาดไว้ล่วงหน้า
เมื่อตอนเจ้าแรก มีวันหนึ่งนั่งดูหนังฝรั่งเศสอยู่คนเดียว(ซึ่งมันก็ยากที่จะมีคนอื่นอยู่ด้วยอยู่แล้ว weekdayแบบนี้)ก็มีเสียงโหวกเหวกพอประมาณลอยมา สักครู่นักศึกษาราวๆสิบคนพร้อมด้วยอาจารย์อีกหนึ่งเดินเข้ามาตรงที่เราดูหนังอยู่ อืม เค้าคงจะสอนเด็กเรื่องศิลปะอะไรอย่างนั้น เราก็ไม่ว่าอะไรเพราะงานมันเปิดอยู่แล้ว เค้าจะเข้ามาขัดระหว่างนี้ก็ไม่ผิด ก็ไม่เป็นไรจริงจริ๊งถ้าหากหนังที่เราดูอยู่มันไม่ใช่เรื่อง irreversible และถ้าหากฉากที่พวกเขาเข้ามาเห็นมันไม่ใช่ฉากในอุโมงค์นั่น โอย~~~~กู พูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น ทั้งอึ้งกับหนังและอึ้งกับคนที่มาเห็นกูกับหนังเรื่องนี้'สองต่อสอง'เซอร์ไพรส์ทั้งเค้าทั้งเราเลยนะเนี่ย ทันใดนั้นเสียงอาจารย์ก็เงียบไป ทุกคนเงียบพร้อมกันดูหนังอย่างใจจดใจจ่อ (เหมือนอาจารย์ได้สติ)แกก็พูดขึ้นต่อเหมือนไม่มีอะไร(แต่เราก็ขำนะเพราะแกพูดว่า)เราต้องแยกแยะระหว่างศิลปะกับความลามกอนาจารย์ ศิลปินเค้าสื่อด้วยภาพโจ๋งครึ่มแต่ที่จริงเค้ามีเจตนาในทางศิลปะนะ....เอ่อ อาจารย์แบบนี้นี่ศิลปะเหรอ เราว่าอาจารย์คงพูดแก้ขัดไปงั้นเอง ยังไม่หมด เราได้เซอร์ไพรส์อีกเพราะอาจารย์เข้าเดินมาถามเราเฉยเลยว่าคิดเห็นยังไงบ้าง (เรื่องที่อาจารย์แกเพิ่งพูดไป) แล้วนักศึกษาทุกคนเหมือนจะพร้อมใจกันมองหน้าเราแบบ....ไหนดูหน้าคนดูหนังเรื่องนี้หน่อยซิ ประมาณนั้น .....เฮ้อ เราไม่มีอะไรจะเสียแล้วจริงๆ ในตอนนั้น สมองเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ชนิดไม่ทันตั้งตัว
แต่ นะ ป่านนี้เค้าคงจำหน้าเราไม่ได้แล้วแหละ(มั้ง) อ้อ ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าหนังจะมีฉากแบบนี้ด้วย (แต่ถึงรู้ก็ยังดูอยู่ดีแหละเหอเหอ)เพียงแต่คิดว่าทำไม๊ทำไมต้องเป็นเรื่องนี้ฉากนี้ด้วยที่ฝูงชนมาเห็น วันอื่นๆมีตั้งเยอะแยะที่เราดูหนังเรียบร้อยๆกว่านี้ตั้งเยอะอย่าง 8 1/2 หรือ balzacฯ หรือ what time is it there หรือ mulholland drive
พอมาเจ้าหลัง ดีหน่อยที่ว่าเรื่องที่ดูไม่ได้อล่างฉ่างแบบนั้นแล้ว แต่ก็...มันขำมากเลย ถ้าใครเคยไปดูจะเห็นว่ามีเตียงมีหมอนเหมือนห้องนอนให้ดูหนังได้ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเค้าจะให้ดูหรอกนะ แต่มันมีรีโมทแล้วก็เล่นหนังได้ด้วยเลยนอนดูไปเพลินๆ คนก็แทบไม่มี อืม~~~เป็นส่วนตัวดีจัง ประมาณค่อนชั่วโมงผ่านไป เสียงโหวกเหวกลองก้องเข้ามา อืม คงมีคนมาดูงานกันแหละ เอ๊ะแต่เยอะดีเนอะทั้งๆที่ไม่ใช่วันหยุด(ฟังจากเสียง)ทันใดนั้น
พรึ่บ นักศึกษายี่สิบกว่าคน+อาจารย์อีกหนึ่งเดินมา(เหตุการณ์มันคุ้นจังเนอะ) เราก็แบบ ไม่หันไปเลยนะนอนกอดหมอนประนึ่งว่าตั้งใจดูหนังต่อไปทั้งๆที่ในหัวหยุดรับเนื้อหาในหนังไปหมดสิ้น มีแต่ความคิดว่า แบบนี้อีกแล้ว กูอีกแล้ว ทำไมเราต้องมาเป็นเหมือนตัวแสดงประกอบงานของศิลปิน(ไปโดยปริยาย)ตลอดเลย อาจารย์ก็อธิบายนู่นนี่ไป เราว่าทุกคนคงมองมาที่เราไปเรียบร้อยเป็นแน่แท้ว่านี่มันเป็นส่วนหนึ่งของงานแสดงด้วยรึเปล่าแหงเลย หรือไม่ก็แบบนะบังเอิญมาเจอผู้ชมงานอีกคนนึงที่นั่งดูหนังอย่างกับบ้านตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็เลยสวมบทบาทซะเลยก็ทำเหมือนไม่สนใจคนเหล่านั้น พออาจารย์พานักศึกษาเดินไปดูอันอื่น เราก็เห็นว่ามีผู้ชายสองคนหัวเราะกันด้วย ซึ่งก็คงเป็นเรื่องเราอีกนั่นแหละ -_-"
เฮ้อ ดวงอะไรมันจะสมพงศ์กับเรื่องแบบนี้นักวะ
สงสัยคราวหน้าถ้ามีงานแสดงไหนมีหนังให้ดูอีก เราคงต้องวางป้ายห้ามบุคคลที่มาเป็นหมู่คณะเข้าชมชั่วคราวไว้ซะแล้ว.
Friday, November 24, 2006
โดยไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรก แต่พอเขียนเสร็จก็อยากเก็บไว้เองด้วย รวมไว้นี่ด้วยละกัน
'
โอเค(เรื่องอาอึ้ม) งั้นมึงก็ยังเป็นน้องกู
เออ กูนับผิดแหละ คือกูกดออกมา 500 แล้วค่อยนับตังจากยอดเงินที่เหลือ มันเลยเป็นห้าพัน
กูเพิ่งมามึ้งทีหลัง แต่ก็....เอ๋อ ส่งไปแล้ว
สรุปว่าให้เด็จแม่ส่ง 1.statement บัญชีโดยมีบันทึกรายการย้อนหลัง 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
2.ซีร็อกใบสถานประกอบการร้านม้ามา ที่จริงเหมือนตอนไปสัมภาษณ์ visa จริงๆ จะต้องใช้ใบจริงเลย แต่ตอนนี้เอาตัวซีร็อกมาก่อนละกัน ให้โอเวอร์ซีดู
กรุงเทพร้อนเหี้ยๆ กูอาบน้ำวันละสามรอบก็ไม่ช่วยอะไรเลย ขนาดตอนเช้าที่กูแบบถ้าสายก็ไม่อาบแม่งแล้วยังต้องอาบเลย มัน..ไม่ไหวจริงหวะ กูยังไม่ซกพอจะไปเรียนตัวหึ่งแบบนั้น ตื่นมาตูดเปียกยังกะฉี่แตก เดินไปคณะเหงื่อจั๊กกะแร้ก็เปียกเสื้อหมดแล้ว กูไม่รู้จะบรรยายอากาศร้อนนี้ยังไงแล้ว โว้ย ...
เออ เรื่องมือถือนี่ยังไงเหรอ กูชักรู้สึกจำเป็นมากขึ้นทุกทีทุกทีแล้วหวะ วันก่อนเจอพี่ชมรมถามว่านี่น้องแพรซื้อมือถือยัง กูบอกยัง พี่เค้าบอกว่า เออเนี่ยติดต่อไม่ได้เลยพี่จะชวนไปหัวหินซักหน่อย ไปฟรี ไปทำข่าว เลยไปชวนน้องxxxแทน........กูแม่ง เสียดายชิบ และก็นึกอยากได้มือถือขึ้นมาปรี๊ดเลย แล้วก็ธุระปะปังอีกสะป๊ะอย่างที่พอมีคน/เอกสารถามเบอร์มือถือ กูก็มึนๆว่าจะบอกไงดี บางทีก็ให้เบอร์1818101 ไป วันก่อนอีกเหมือนกัน คุยกับแม่ค้าขายกางเกงยีนส์ไปๆมาๆก็ขอเบอร์ติดต่อกูก็ไม่มีจะให้เค้า ..........สรุปแล้ว กูอยู่แบบไม่มีมือถือไม่ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย
กูขี้ลืมขึ้นทุกวันเลยหวะ แถมยังเอ๋ออีก วันก่อนกดเอทีเอ็มเสือกเสียบบัตรผิดใบ มันดูดไปเลย มีการกดรหัสเข้าไปได้แล้วด้วยนะ จนตอนจะให้ตังกูนี่แหละเครื่องมันถึงเพิ่งมึ้งว่าบัตรมันผิด...กูหรือเครื่องโง่กว่ากันวะเนี่ย โว้ย...ไรว้า
เมื่อเช้าก็รีบไปเรียนจะแปดโมง กูก็รีบชิบหาย เห็นคราวแล้วเพื่อนบอกอาจารย์เริ่มสอนแปดโมงเด๊ะ กูก็อุตส่าห์จะเป็นเด็กดี พอลงลิฟท์มาเดินแวะทิ้งขยะก็มองน้องที่เดินตามมาเห็นเข็มขัดน้องเค้าแล้วก็เลยก้มมาดูของเรา อ้าว!กูลืมใส่เข็มขัดนี่หว่า........ก็ได้รีบขึ้นห้องชั้น 9 อีกรอบนะฮะ สรุปที่กูรีบก็ไมม่ได้ช่วยให้กูไปเรียนเร็วขึ้นเลย กูลืมแทบไม่เว้นแต่ละวันเลยให้ตายสิ
กูจะลืมมึงด้วยมั้ยวะเนี่ย สงสัยหวะ
(เอ้อ บ่นซะเยอะเลย ไปกินไรมาป่าววะ เอ้อ กูขี้อยากกินด้วยหวะช่วงนี้ อยากกินอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็จะกินเค้กมั่งหละ ขนมจีนมั่งหละ เตี๋ยวต้มยำบ้างหละ พาย แยมโรล มาม่า โอย~~~อยากกินอาหารแม่ดาวนิลง่า~~~~~)
(เออ กูนึกได้อีกอัน เกี่ยวกับมาม่า เป็นเพราะความซกมกกูอีกแหละ คือกินมาม่าแล้วขี้เกียจเดี๋ยวค่อยล้าง ก็ไปวางไว้ข้างที่ล้างจาน ซึ่งมีของคนอื่นในชั้นเดียวกันกองพะเนินกันอยู่ก่อนแล้ว กูก็.............ขี้เกียจไปขี้เกียจมา วันนึง-----------------ถ้วยกูหายไปเลย เอ๋อ ไรวะ แล้วกูจะเอาไรแดกวะเนี่ย แล้วกูก็ไม่มีถ้วยจะแดกมาม่าจริงๆ กูขำตัวเองชิบเป๋ง อนุมานว่าพี่แม่บ้านรำคาญไม่ไหวจนไปเขวี้ยงแล้วมั้ง แล้วกูก็..........เลยต้องกินมาม่าคัพแทนเรื่อยมา แล้วมันก็แพงกว่าเป็นซองใช่ม้า แต่......มันก็ตอบสนองความขี้เกียจของกูดีเหมือนกัน 55 เฮ้ย แต่ขอบอกว่ากูไม่ได้ขี้เกียจอยู่คนเดียวนะเว้ย เค้าเป็นทั้งนั้นเพราะมันเป็นช่วงสอบ ไม่มีใครขยันมาซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน กวาดห้องกันหรอก แต่ถึงทั้งชั้นจะขยัน กูก็ขี้เกียจอยู่ดีหวะ)
เออ มึงส่งรูปไอตี๋ที่ไหนมาวะ ... กิ๊กมึงเหรอ อีเห็ดเอ้ย นมยังไม่มีมึงยังริจะมีกิ๊กเหรอ....
........มึงจะดูรูปกูเหรอ ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายเลยหวะ มีแต่คนอื่นเค้ามาถ่ายกูรูปเลยอยู่ในกล้องคนอื่นหมดเลย 55
มึงเขียนมาเม้ามั่งดิวะ นินทาคนในหมู่บ้านก็ได้ ป้าปล่องควัน บ้านป้าไก่ เกาหลี พี่พล ร้านอาจารย์หมอ
ถ้ามึงพิมพ์ลำบากก็สแกนมาดิ เครื่องสแกนยังใช้ได้ไม่ใช่เหรอ เขียนแล้วสแกน
เฮ้อ เรื่องนู้นเรื่องนี้ จบการเม้าได้ซักที.
'
อืม ได้หนังที่รสชาติแปร่งๆ ดี
เรื่อง clutter [ครึ่งแรกclean + ครึ่งหลังshutter]
ถึงวันนี้ คิดว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่จะยกระดับสิ่งนี้ขึ้นเป็นทางการเสียที
'ลืมเก่ง'
นั่นแหละฉันสามารถ
ทำไมกูต้องเป็นคนด้วยวะ
Tuesday, November 21, 2006
turning point and the film history*
+ pre-sound era > sound era
1888-1928
+ Eastman film was introduced, 50 feet, orthochromatic
+ Kodak camera was placed on the market with the slogan 'you press the button, we do the rest'
black maria*
+ the world's first film productionstudio
+ Edison's first film was directed and photographed by William Dickson
+ Fred Ott's sneeze became the first motion picture
[Lumiere มีความเป็นสารคดีมากกว่า]
+ 1895 Lumiere brother invented a portable 3 in 1 motion picture camera
cinema*
+ it was born on Dec 28, 1995, in Paris, France
+ the world's first ....
film style*
+ film strip
+ one scene one shot, authentic or staged
+ no cinematic technique
+ no editing
film format in early cinema*
+ Edison 35mm for perforation [หนามเตย]
+ Lumiere 35mm 1 round perf
+ Pathe 28mm 3 round perf
+ 63mm, 54mm, etc
+ Edison format 35mm was adopted as standard in 1909
+ Frame rate: 16 [ต่อวินาที] or 18 FPS
+ 50 FT
+ aspect ratio[อัตรากว้างคูณสูงของฟิล์ม] 4:3 [1:33:1] > tv
+ 1.85:1 [standard aspect ratio] > theatre
+ 2.35:1 [widescreen]
early development in technique*
+ 12 feet rule [full shot - อิทธิพลต่อละครเวที]
+ Edwin S.Porter found that the basic unit of film's structure is the shot, not the scene
the life of an american fireman [1903]*
+ breakthrough film of Edwin S.Porter
+ moving picture were increasing in length, taking on narrative forms and being edited for the first time
+ intercutting between the exterior and interior of a burning house
the great train robbery*
+ the first narrative western film with a story line
+ parallel cross-cutting
+ full screen close-up
+ Porter developed the process of film editing: a film tachnique that would further the cinematic art
hollywood triumphant*
+ 1910: film companies began to more to hollywood
+ 1920s hollywood became movie factory for the world
+ big sound stage, studio lighting
+ film stocks became more sensitive
the birth of the nation*
+ feature film began to replace short film
+ D.W. Griffith: founder of film grammar
+ innovative technique: close-up, iris effect, high angla, long shot
+ the rise of feature film[:-หนังโรง 90 min up] and film as art
++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++
hollywood formulas*
+ cinema became mass production
+ slapstick comedy
+ malodrama
film genre*
+ cinema, organized itself in categories was distinguished by style or subject,
call genre
3 major categories of cinema*
+ fiction
+ non-fiction > 'documentary' Robert Flaherty and Dziga Vertov
> experimental film of avant-garde film [dadaist and surrealist]
impact on industry from talking film*
+ gave birth to musical genre and screwball comedy
+ change the style of acting
ended the career of many actors and actresses
1930-1945 the golden age of hollywood*
+ classical hollywood cinema
+ studio system
+ 8 major studios dominated production: paramount, mgm, fox, warner bros, rko, united artist, universal, columbia
technicolor era*
+1935 technicolor 3 strips camera
+ light entering the lens was splitted in R G B and exposed 3 black and white film
+ 1953 Eastman entered the 35mm color market
widescreen*
+ 1950s saw the pervasive technological innovations in hollywood
+ 1952 3 camera and 3 projectors cinerama
+ 1953 cinemascope: the robe
+ 1957 most american theaters converted to widescreen
+ Anamorphic> lens ที่สามารถบีบภาพในแนวนอนให้สูง คลายภาพออกมาก็เป็นwidescreen
+ 1.85:1> หนังโรงปัจจุบันที่ไม่ใช่widescreen ถ้า widescreen 2.35:1
++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++ ++++++++++++++++++
อันนี้ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว
ดูbrokeback...อาจารย์ถามว่า>> brokeback mountain กะลังพูดถึงอะไรนอกจากเกย์
[instant idea]
+ ตั้งคำถาม
ทำให้ตั้งคำถามว่าเกย์คืออะไรกันแน่ การจำกัดความว่าเกย์คือผู้ชายรักผู้ชายและเป็นสิ่งที่ผิดผีนั้นถูกต้องแล้วหรือ รักแท้ต้องเกิดขึ้นกับเพศตรงข้ามเท่านั้น? หนังเรื่องนี้รื้อมโนทัศน์ความเป็นเกย์ที่สังคมตีกรอบไว้ เวลาพูดกันว่า อุ๊ยเกย์ๆ (เดี๋ยวนี้คงไม่แล้ว) มันเป็นคำนิยามที่ให้ความเข้าใจอย่างฉาบฉวย ความรักจริงที่แฝงอยู่เบื้องหลังภาพผู้ชายรักผู้ชายมันเป็นสิ่งที่สังคมไม่สามารถมาประณามว่าผิดหรือถูกได้ ความอึดอัดคับอกคับใจของทั้งสองในเรื่องก็แสดงถึงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคิดไม่ตกเมื่อความต้องการของปัจเจกขัดแย้งกับระเบียบทางสังคม
+ ความแตกต่างในลักษณะนิสัยของ แจ๊คกับเอนิสที่มาจากการเติบโตที่ต่างกัน>>decisionต่อconflictนี้ก็ต่างกัน เอนิส~ให้conceptสังคมอยู่เหนือกว่า เลือกกดdesireส่วนตัวเก็บไว้และendure+ไม่พูดมาก+มีreactรุนแรง [ตอนดูพลุ, ต่อยคนขับรถหลังจากทะเลาะกับแจ๊คมา] ส่วนแจ๊คตรงข้าม จะexpress จะพูดจะเปิดและเป็นฝ่ายเข้าหาเอนิสซะมาก
+ คิดว่านะ มีประเด็นสองอย่าง[ที่ตอนนี้นึกออก] ประเด็นการพบว่าที่แท้ตัวเองต้องการอะไร[ระดับปัจเจก] เอนิสคิดจะแต่งงานตั้งแต่ก่อนมาคุมแกะแล้ว แต่พอมาxxxและ อ้อ! this is what i want [สำหรับความคิดนี้ ถึงตอนนี้ก็คิดว่าไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว]ประเด็นที่สอง หลังจากค้นพบแล้วก็พบปัญหาใหม่อีกเพราะมันเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างแรงของสังคม แต่ถึงจะมีปัญหาหนักกว่าเดิม แต่เอนิสก็มีความสุขไม่แพ้การทนทุกข์กับปัญหา เหมือนก่อนมาเจอแจ๊คชีวิตเอนิสมันnothing lonely ~~desperate but Jack ทำให้เขารู้จักความสุขแบบที่เค้าตามหา ความเหงาเปลี่ยว ไม่มีใครเข้าใจที่ลอยฟ่องอยู่ในชีวอตเค้าเริ่มเลือนไป Jake is like sunshine for Enis
+ รักที่delicateมาก sexual desireก็ไม่ได้หื่นกระหายแบบนั้น okอาจรู้สึกรุนแรงอยู่บ้างวึ่งคาดว่าเป็นpart of loveมากกว่ามีไว้สนองตัณหาเฉยๆ เลยดูไม่น่าเกลียดไม่negative
**ชอบมากที่สุดในเรื่องแล้วมั้งที่เอนิสบอกแจ๊คว่า ยืนหลับเหมือนม้าเลยแล้วก็กอดจากข้างหลัง >_< มันน่ารักดี ไม่รู้สิ it's not sweet word but it's sense of taking care แล้วมันแฝงถึงสิ่งแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่ เป็นการเปรียบเทียบจากสังเกตวิถีของสัตว์ที่ตนคลุกคลีด้วย(ก็ขี่ม้าไปหาแกะออกบ่อย)...**
อ่านๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้ตอบคำถามอาจารย์เลยอ่ะ มีแต่สิ่งที่คิดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แค่นั้นเอง.
Sunday, November 19, 2006
+ เอ๊ะ ทำไมเพลงที่ชอบหลายๆอัน มัน just ทั้งนั้นเลย just the way you are, just the two of us, just a feeling...
+ ตอนนี้กำลังสนุกกับการอ่านสีหน้าผู้คน ในรูปถ่าย
พบว่า การแสดงออกทางสีหน้าเป็นอะไรที่มีเสน่ห์ เป็นตัวตนที่ไม่มีใครเหมือน เป็นอารมณ์ เป็นความไม่สิ้นสุด ไม่รู้สิ ฉันเอียนกับสีหน้าสีแสร้งที่เราอาจพบเห็นตามรูปสติ๊กเกอร์ที่ร้านมักติดโปรโมทไว้
only one form of face allowed--smiling face!
ทำไมเราจะต้องยิ้มเปี่ยม(เหมือน)สุขแบบนั้นด้วย เราน่าจะถ่ายรูปเพื่อfreezeความรู้สึกตอนนั้นๆ ไว้ให้กลับมาระลึกถึง เพื่อแชร์สิ่งที่ได้พบเห็น หรือเพื่อการถ่ายรูปเอง แต่คิดไปคิดมารอยยิ้มในรูปสติ๊กเกอร์นั่นอาจเป็นความสุขของเขาจริงๆก็ได้ ถ้าแบบนั้นก็
+ ระยะนี้มีอะไรเล็กๆบางอย่างที่คอยสะกิดใจฉันอยู่เรื่อย จะยกตัวอย่างซักอันเพื่อสื่อว่าบางอย่างที่ว่านั่นคืออะไร
เมื่อวันอาทิตย์ไปดูงานละครที่สวนสันติ ทีนี้ตามิ้นก็พูดบ้าบอของพี่แก มีพูดถึงสาว'โคโยตี้'ขึ้นมา(เฮ้อ พี่ชมรมชั้นในหัวมีแต่อะไรแบบนี้ใช่มั้ยเนี่ย ไมไม่พูดถึงหนุ่มสายรุ้งบ้างหละ !? นี่มันชมรมไรวะเนี่ย) ต่อๆ ตาแบงค์ก็พูดขึ้นว่าโคโยตี้นี่มันแปลว่าหมาป่าด้วยไม่ใช่เหรอ ที่อยู่ตอนเหนืออเมริกาหนะ เราก็เออ คุ้นๆ เหมือนเคยจำได้แต่ลืมไปแล้ว พอกลับมาเปิดศัพท์ก็เห็นว่าจริง ก็อืม เคลียร์ประเด็น พอมาถึงวันพุธ วิชาภาษาไทย อ.สอนเรื่องการเรียบเรียงข้อมูล และเอกสารที่อ.แจกประกอบการสอนชั่วโมงนั้น
ก็เป็นเรื่องโคโยตี้ ทั้งที่เป็นสาวเต้นยั่วยวนและหมาป่า เราก็ เฮ้ย ตกใจ อะไรมันจะร้อยเรียงเข้ากันโดยไม่ได้วางแผนแบบนี้
เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง เว้นช่วงเป็นพักๆ แล้วเรารู้สึกว่า เหมือนว่าถ้าเราสำรวจจดจำรายละเอียดชีวิตดูให้ดี มักมีสิ่งเล็กน้อยแบบนี้โยงหากันไปมา แล้วมันคืออะไร หากเป็นเพียงความบังเอิญก็ โอเค มหัศจรรย์ดี
Saturday, November 18, 2006
เราไม่ได้โกรธนะ เราเหนื่อย. และก็คิดว่าเราต้องรอแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน
สมเสร็จลองคิดดูแล้วกันนะ ว่าเราเคยให้เธอต้องรอเราบ้างรึเปล่า ลองเทียบจำนวนครั้งที่เธอให้เรารอกับที่เราให้เธอรอดู
เราอดมาทุกครั้งเลยนะ ที่เห็นหายเคืองง่ายๆ แบบนั้นก็เพราะพอในที่สุดที่เธอขอโทษเราก็แก้ตัวให้เธอในใจว่า เอ้อ มันก็นิดหน่อยแหละนา เธอไม่ได้ตั้งใจหรอก ไหนๆเธอก็มาแล้ว
แต่มันก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
อยากบ่นอกจะแตก แต่พอเธอเข้ามาขอโทษ ก็ อภัยให้เธอทุกที
หรือไม่เธอก็เอาขนมมาให้บ้างหละ มาทำดีทำง้อ เห็นเราเป็นเด็กที่เอาขนมมาให้ก็จบอย่างนั้นใช่มั้ย!
สมเสร็จเห็นเราเป็นตัวอะไรเหรอ...
เราคงเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถช่วยเธอออกแบบอะไรเก๋ๆ ฉลาดๆ แปลกๆ อะไรเทือกนั้นให้เธอได้เหมือนพวกดีไซน์ของเธอ
เธอเลยคิดว่าไม่ต้องทะนุถนอมใส่ใจความรู้สึกของเรามากนักใช่รึเปล่า
...
เราไม่ได้โกรธเธอหรอกนะ จริงๆ
แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ทุกครั้งที่เราต้องรอเธอ มิตรภาพมันลางไป ลางไป
จะขนมชั้นเลิศแค่ไหนก็ทำได้แค่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ต่อไป ให้เราต้องรอในครั้งใหม่ ร่ำไป
ข้างนอกบอกเธอว่าไม่เป็นไร
แต่มิตรภาพลึกข้างในนั้น มันหมดหนทางกลับไปลึกซึ้งเหมือนเดิมเสียแล้ว.
ชั่วโมงขึ้นผ่านไปแล้ว เธอก็ยังไม่มา
ขอร้องไห้เป็นต้วหนังสือซักวันเถอะ
Wednesday, November 15, 2006
ไอเดียที่ยังไม่ได้กลั่นกรองวันนี้
+ เส้นคั่นระหว่างการมีภูมิต้านทานและอาการด้านชาอยู่ตรงไหน...คือนึกถึงหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวเลวร้ายเสื่อมโทรมมากมายไม่เว้นแต่ละวัน แล้วเราดู อ่าน หนังสือพิมพ์เหล่านี้มาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว และหากวันหนึ่งเราต้องเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนที่เหยื่อในหนังสือพิมพ์ประสบมาแล้ว เราจะทำอย่างไร อีกกรณีหนึ่ง หากเราไม่ได้ประสบเหตุการณ์นั้นเอง แต่เรา 'รู้เห็น' เหตุการณ์เหล่านั้น เราจะทำอะไร สองตัวอย่างนี้เลยทำให้มานึกว่าหนังสือพิมพ์ทำให้เรามีภูมิต้านทานและมีสติมากขึ้นเมื่อเราต้องเจอกับตัวเองและขณะเดียวกันพอเราซึมซับรูปแบบอันตรายที่เกิดในสังคมจากหนังสือพิพม์มากเข้าจนเราไม่รู้สึก significant กับแต่ละเหตุการณ์แล้ว เรามองเป็นแค่เรื่องราวเล็กน้อยที่พอวันรุ่งขึ้นมันก็ 'ไม่มีอะไร' แล้ว พอถึงเวลาที่เราตกเป็นบุคคลที่สามในเหตุการณ์เลวร้ายสักอย่างหนึ่งจริงๆ เราจะมองเหตุการณ์นั้นอย่างด้านชารึเปล่า
อันที่จริง จะโทษหนังสือพิมพ์แบบนั้นก็อาจไม่ยุติธรรมนัก แต่...ก็น่าลองคิดดู
+ อ่าน post-feminism ฉบับแปลมีจุดหนึ่งอยากเก็บไว้ในนี้ซักหน่อย
...ความรู้หลากหลายสาขาวิชา เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การสำรวจ และสงครามการพิชิต ได้ช่วยให้โลกตะวันตกผลิตความหมายทางวัฒนธรรมซึ่งอ้างเป็นความรู้ที่ถูกต้องและละเอียดเกี่ยวกับความเป็นตะวันออก แม้จะเป็นแค่เรื่องแต่ง แต่รูปแบบของความรู้เหล่านี้เกี่ยวกับตะวันออกในที่สุดถูกมองว่าเป็น 'ธรรมชาติ' จนกระทั่งแรงจูงใจทางการเมืองดั้งเดิมซึ่งสร้างมันขึ้นกลายเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นอีกต่อไป
ทีนี้ส่วนตัวแล้ว เรายังมีคำถามคือที่บอกว่าการอ้างความเป็นตะวันออกของตะวันตกเป็นเรื่องแต่ง...พิจารณาจากหลักฐานอะไร??
Sunday, November 12, 2006
ไปดูละครในเทศกาลละครกรุงเทพที่เก่า
มีนักรบคุ้มกันด้วย (ฮา)
อันที่เป็นผลงานของผู้หญิงที่ชื่อโกโตะๆอะไรซักอย่าง ที่เริ่มด้วยอะมีบะหน่ะ
ชอบทีเดียว
ลองถามรบว่าจบแล้วอยากทำงานไร
'เป็นหมอ'
'อ้อ เพิ่งรู้ว่าเรียนปรัชญานี่รักษาโรคได้'
'ไม่ได้รักษาโรคซักหน่อย แต่รักษาระยะห่างจ๊ะ'
' '
Saturday, November 11, 2006
หมู่นี้อัพบ่อยแฮะเรา
- ไปดูเรื่อง hukkleของGyörgy Pálfi หนังฮังกาเรียน ชอบชิบเป๋ง!
ไม่มีคำพูดอย่างเป็นใจความเลยทั้งเรื่อง (เว้นแต่เสียงในละครที่ตัวละครฟัง กับ เสียงร้องเพลงในงาน(คงเป็น)แต่ง ซึ่งไม่นับ) ที่ชอบไม่ใช่เพราะไม่อาศัยการสื่อด้วยคำพูดอย่างเดียวหรอกนะ แต่เป็นหนังที่รวบรวมคอลเลกชั่นสัตว์ต่างๆ ไว้เยอะมาก เปิดเรื่องมาก็งู มด แกะ ม้า เต่าทอง(โคตรสวยตอนไต่ไปตามสายwalkmanสีเหลือง)สมเสร็จ หมู ผึ้ง แมว หมา ปลากะโห้(ปลาไรไม่รู้ แต่เห็นมันใหญ่ดี เลยคิดว่าน่าจะเป็นกะโห้..ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้จักหน้าตาจริงๆของปลากะโห้หรอก 55 แต่แค่ชื่อก็ฟังดูตัวเบ้อเริ่มแล้ว).. ภาพเป็นระยะใกล้มากแทบทั้งเรื่อง และที่สำคัญกว่า(ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่ามีกว่านี้อีกมั้ย)คือเป็นหนังที่รู้สึกว่า...การสะอึกมันน่ารักดีแฮะ แถมเพลงตอนขึ้นเครดิตก็จุดประกายมนต์เสน่ห์เพลงพื้นเมืองของชาวฮังกาเรียนให้กับเราเสียด้วย
ภาพสวย.
คนก็งาม. โดยเฉพาะคุณลุงที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลาโดยการรังสรรค์จากริ้วรอยบนใบหน้า.
มันอาจไม่ใช่หนังที่จะโดนใจใครง่ายๆ หรอกนะ คือ...บางความคิดอาจมองว่ามันน่าเบื่อด้วยซ้ำไป
แต่
ไม่รู้สิ..ลางเนื้อชอบลางยา
ชั้นก็ชอบแบบเนี้ย
สงสัยอยู่ว่าถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้แบบเป็นแผ่น จะรู้สึกได้ใจแบบนี้มั้ย??
- เพลง เพื่อนเท่านั้น ของแอนนา ลอยมา (อย่ามา .. ไม่โป๊เหมือนคลิปนั่นหรอก โห ตอนเป็น teen 8 grade a แอนนายังดูinnocentจะตาย...มั้ง) เราก็คิดขึ้นมาว่าเพลงนี้ให้ทัศนคติเหมือนเป็นเพื่อนมันไม่มีค่าอะไรเลยงั้นแหละ เหมือนเป้าหมายคือต้องเป็นแฟนเท่านั้น ถ้าไม่ได้ จะให้เป็นอย่างอื่นแทนก็ไม่เอา... เฮ้อ ถ้ามอง friendship แบบ personification ก็น่าน้อยใจแทนนะเนี่ย ความเป็นเพื่อนไม่มีค่าพอในสายตาเลยเหรอ
แต่ อาจจะเป็นว่าพอเราเริ่มคบแล้วมีการคาดการณ์/คาดหวังไปในทางกุ๊กกิ๊กนั่นแล้ว เป็นไปได้มั้ยว่า มัน u-turn มาหาความเป็นเพื่อนไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ทราบนะฮะ ถึงเราจะคิดว่าเป็นเพื่อนกันได้แหละ เสียดายออก คนดีๆ รู้ใจกันมาก็หลายอย่าง จะคบแบบแคบๆ อยู่แค่แฟนจ๋าแฟนจ๋ามันก็เสียของอยู่(..ไม่มีเจตนามองเป็นสินค้านะ แค่ความเปรียบ) แต่ เอาเข้าจริงๆ เราอาจจะทนไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟาย ตะกายขอบเตียง เฟี้ยงข้าวของ และอีกสารพัด...ก็ได้นะ
- เป็นวันที่ 'บังเอิญ' มาถามไถ่จนน่าเอะใจ เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่า การไปดูนิทรรศการที่ tcdc จะได้ 'เจอคนที่ไม่คิดจริงจริ๊งว่าจะเจอ' เป็นของแถม เจอวิปทียู ซึ่งจริงๆเดี๋ยวก็น่าจะได้เจอกันพรุ่งนี้อยู่แล้วยังไม่เท่าไหร่ แต่อีกคนนี่ประหลาดใจมาก เจอ 'หยก' เฉยเลย ไม่ได้หมายความว่าพอเจอแล้วรู้สึกเฉยไปเลยนะ แต่หมายความว่าอยู่เฉยๆเธอก็เข้ามา :]
เท้าความสั้นๆ หยกเป็นเพื่อนผึ้ง ผึ้งเป็นเพื่อนเราสมัยมอปลาย เป็นเพื่อนที่จัดอยู่ในประเภทสนิทกันแต่น้อยและพอเข้ามหาลัยต่างคนก็ต่างลืมความสนิทนั้นไว้ที่โรงเรียน อาจจะอยู่ตามลิ้นชัก..บนโต๊ะเรียน โรงอาหาร โต๊ะม้าหินอ่อน..ที่ไหนซักแห่ง เพราะฉะนั้นเราเลยไม่มีสนิท(ที่น้อยๆนั้น)เสียแล้วหลายปี อ้อ ที่ที่เรารู้จักหยกจากการแนะนำของผึ้งก็ที่โรงเรียนทางเหนือนี้แหละแต่ไอ้ที่ที่มาเจอหยกกลับเป็นที่สะดือของไทยนี่สิ ถ้าเจอกันกาดสวนแก้วก็เอ้ออ้าอยู่ แต่นี่มาเจอในที่...ดีไซน์สไตล์จ๋าแบบนี้ ก็อึ้งกิมกี่พลันถามไปว่า 'อ้าว หยกมาเรียนกรุงเทพเหรอ''อื้ม เราเรียนถาปัดเกษตร'(หา เป็นคณะท้ายๆที่เราคิดว่าหยกมาเรียนนะนี่)'เ ห ร อ''เราเลือกคณะนี้แต่แรกแล้ว'(อ๋อ เข้าใจที่มาของสาเหตุที่ต้องมาพบกันที่นี่แล้วแหละ)
อินเตอร์เนตก็ว่าทำให้โลกแคบแล้วนะ
แต่ไอ้อะไรไม่รู้ที่เป็นชนวนให้เจอคนนู้นคนนี้แบบนี้นี่สิ เป็นโลกแคบที่น่าทึ่ง!
(ทิ้งไว้ตรงท้าย - ว่างเปล่าไปกับพิราบsเบญ)
Friday, November 10, 2006
เปลี่ยนบรรยากาศอึมทึมหรืออะไรก็ไม่รู้ล้านแสนวายป่วงทั้งหลายมามกๆดูบ้าง...
เพราะอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย (อิ ใช้มั่ง)
การพูดคุยระหว่างทานอาหารอาจไม่ใช่กิริยาที่เหมาะสมตามหลักผู้ดี
แต่การพูดคุยช่วงนี้แหละที่ออกรสนักแล
ว่าแล้วจึงนำเรื่องเหล่านั้นมาปล่อยไว้สักหน่อย
เผื่อให้กลับมาฮาอีกในอนาคต
ส้ม...ผู้ที่มีอะไรเสื่อมๆมาเล่าให้เพื่อนฟังอยู่เสมอถามขึ้นว่า
ทำไมราคาไข่ถึงขึ้น?
???
??
?
เฉลย
เพราะ ไม่ได้ซักกางเกงใน (โห นี่มึงขุดจากไหนมาถามวะ แม่ง..เหลือเกิน)
ถามอีก เมื่อลมพัดหวน หมิวจะเป็นอย่างไร?
???
??
?
เฉลย
หมิวปอย (อืม..มึงเล่นได้หมดทุกอย่างจริงๆ)
...อีกเยอะมาก เยอะจนจำได้อยู่แค่เนี้ย 55 ถามทีนึงเป็นสิบอย่าง จนจำว่าถามอะไรไม่ได้ แต่จำได้ว่า มันส์มาก
น้ำลายท่วมสเต็กไปเลย.
Wednesday, November 08, 2006
the narrative film*
1902 Le Voyage dans la Lune:Georges Melies[the magician]
-fantasy
-adventure
-trick film
1903 The Great Train Robbery[first narrative film ]:Edwin S.Porter
-power of cut
-'western'prototype
-film review
Life of an American Fireman
-dream balloon
-close-up
1905 Rescued by Rover:Cecil B.Hepworth
-logic of story
film as art
D.W.Griffith:Father of Film Technique
1915 The Birth of a Nation
1916 Intolerance
1919 Broken Blossoms
film techniques*
The close-Up
The iris
Pan&track
Camera angle
Cross-cutting
Dramatic lighting
Editing
Casting,rehearsal,costume,characterization,use of symbol
the burgeoning of film industry*
...เฮ้อ อีตานักรบมัวไปรบอยู่สนามไหน ไปดู le petit lieutenant เองก็ได้
(กลับมาเจอสปาต้าแน่-ฮึ่ม!)
EARLY CINEMA
the idea*
1824 + Persistence of vision[ภาพติดตา]:Peter Mark Roget
- The Persistence of vision with regard to Moving Objects
- Thesaurus
+ Pre-historic invention
- Camera obscura [กล้องรูเข็ม]
- Magic lantern
the [scientific] toys*
1825 Thaumatrope:Dr.JOhn Ayrton Paris
1829 Phenakistiscope:Joseph Plateau
1832 Stroboscope:Simon Ritter von Stampfer
1833 Zoetrope [revolving drum/wheel of life]
William George Hornes
Praxinoscope
Kinematoscope
Coleman Sellers
the machines*
The Recorder
The Projector
1879 Multi-camera technique:Eadweard Muybridge
1882 Photographic gun:Dr.Etienne Jules Marey
1888 [penny-in-the-slot]Phonograph:Thomas Edison,William K.L.Dickson
1894 Kinetoscope [peep-hole machine]
Kinetograph
1895 Cinematographe:Louis/Auguste humiere[France]
Bioskop:Max/Emil Skladonowski[Germany]
1896 Vitascope:Thomas Edison/Thomas Armat
1884 Celluloid roll film:George easrman
American perforation:Thomas Edison
1893 Black Maria[โรงถ่ายหนังแห่งแรกของโลก]
the filmstrip/filmmakers*
1895 Sortie d'Usine:Lumiere Brothers
Le Repas du Bebe
L'Aroseur Arrose
Fred Ott's Sneeze:Thomas Edison
The Kiss
Monday, November 06, 2006
สั้นๆ รีบๆ
มีบุคคลที่ ไงดี รู้สึกอยากตอบแทน รู้สึกขอบคุณ และ adj ทั้งปวงที่เข้าข่ายนี้
- แม่บ้านชื่แอ วิไล ที่กดูแอลชั้นเรา
- คนงานที่สังกดักดกดรมสวนสาธารณะ
- แอจารย์ที่ห้แองสมุกดแอกดษร....เราเอากระเป๋าขึ้นไปทั้งที่จริงๆต้องฝากไว้ที่ชั้นข้างล่างแต่ก็ให้อาจารย์ตรวจก่อนออกทุกครั้งนะ คือไงดีบางทีเราเผื่อเข้าห้องน้ำด้วย ถ้าไม่เอากระเป๋าขึ้นไปก็ต้องหยิบทิชชู แป้ง ลิป ไหนจะหนังสือปากกา โอย พะรุงพะรัง เลยเอาไปทั้งกระเป๋านั่นแหละ แล้วบางครั้งถึงไม่เข้าห้องน้ำแต่ถ้าให้เอาแต่ของที่ใช้ขึ้นไปก็จะเหลือแต่กระเป๋าเปล่าๆไว้ที่ชั้น แล้ว..ทำไมจะต้องเอาไส้ในมันไปหมดให้ลำบาก เอาไปทั้งกระเป๋าสพดวกกว่าเยอะ อืม นั่นแหละ ที่จริงเกรงใจอาจารย์ทุกครั้งเลย แต่อาจารย์ก็เห็นหน้าเราจนจำกลิ่นได้แล้วมั้ง(ฮา)วันนี้พอเราจะเอากระเป๋าให้ตรวจอาจารย์ก็บ๊ายบาย
ไม่ช่าย เค้าหมายความว่าไม่ต้องย่ะ ทันใดนั้นก็บังเกิดความตื้นตันขึ้นกับเรา ..อาจารย์ไว้ใจหนูขนาดนั้นเลยหรือคะ ตะกี้หนูแอบเอากาแฟขึ้นไปกินด้วยนะคะ เอ๋อ!(รู้งี้ไม่น่ารีบทิ้งหลักฐานไว้ข้างบนเลย)
เรามันพวกไม่อยู่ในกฎอย่างสม่ำเสมอ(ไม่ใช่แหกกฎนะ ไม่เหมือนกัน)คือชอบหยวนให้ตัวเองเป็นบางทีเพราะรู้อยู่ใจว่าเค้าห้ามเพราะอะไรและสิ่งที่เราทำแม้จะผิดกฎ(อย่างเรื่องกาแฟ)แต่เราก็ไม่ได้ทำห้องสมุดเลอะเลย ก็เลย..แหละ
ไม่รีบ
# ดู brokeback mountain อีกรอบ รู้สึกตื้นตัน (วันนี้ตื้นตันสองรอบเลยนะเนี่ย)
# แล้ววันนี้ยังได้เริ่มเล่นเกมส์น่าสนุกบางอย่างอีกด้วย
ความว่า...เล่นเกมส์แฟนเวอร์ชั่นทดลองใช้กับผู้ชายคนนึง อืมอืมสมมติว่าชื่อนักรบละกัน(เป็นชื่อศิลปินคนนึงตอนไปดูงานภาพที่หอศิลป์กลางกรุงแห่งนึง) ทำข้อตกลงกันว่าเราจะเป็นแฟนกัน(คิดถึงหนังเกาหลีเรื่องนั้นใช่ม้า แต่ไม่เหมือนกันนะ)โดยจะลองทำอะไรที่คนเป็นแฟนกันทั่วไปเค้าทำกัน และจะลองทำอะไรที่คนเป็นแฟนกันทั่วไปเค้าไม่ทำกันด้วยกันด้วย เราจะลองกุ๊กกิ๊กจะลองทะเลาะจะลองกระหนุงกระหนิงจะลองติสแตก(หรือติสแดก)ลองทุกอย่าง มาใช้เวลาร่วมกัน โดยเกมส์จะoverเมื่อมีคนที่รู้จักรู้เรื่องเข้า เราก็จะเลิกกันทันทีและคนที่เป็นฝ่ายทำให้คนอื่นรู้ก็ถือว่าแพ้แล้วก็ต้องพา+ออกตังให้อีกฝ่ายไปเที่ยวทะเลด้วย ทั้งสองฝ่ายต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าเรา(เสมือน)เป็นแฟนกันฉะนั้นเราต้องปฏิบัติตัวดั่งแฟนเค้าทำกัน
เราเลยประเดิมด้วยให้นักรบพาไปเที่ยวโรงเรียนอนุบาลที่เค้าเคยเรียน ไปนั่งแอ้มเด็กกันที่สนามเด็กเล่น
"น้องนั่นโตมาหล่อแหงเลย"
"ไหน หล่อตรงไหน เฮ้ยๆ มาเจ๊าะแจ๊ะน้องคนนั้นได้ไง เล็งอยู่เชียว"
"แหม หื่นขึ้นเชียวนะ นี่ ชั้นให้เธอพามาเที่ยวโรงเรียนไม่ใช่เที่ยวสาวนะเฟร้ย"
"ไปหาน้องสุดหล่อของแกเลยไป"
"ทำไม แกจะได้ไปหาน้องผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย ไอ้เฒ่าหัวงูเอ้ย เดี๋ยวจับไปอยู่กับเมดูซ่าซะนี่"
"รบ"
"หือ"
"แกชอบภาพสีน้ำป่าววะ"
"อยากไปดูเหรอ"
"ไปดูมาแล้วเมื่อวันก่อน เราว่าภาพสีน้ำมันแปลกดีอยู่อย่าง มันเป็นภาพที่เห็นแต่ไกล"
"เห็นแต่ไกล?"
"ก็มองใกล้ๆไม่รู้เรื่องไง มันเป็นสีแต้มๆขีดๆ ต้องดูห่าง เว้นระยะดูถึงจะอ้อ รูปเรือ อ้อ รูปบ้านริมทะเลอะไรเงี้ย"
"อืม เนอะ สวยมาแต่ไกล"
"งั้น เรากลับและ ให้แกเห็นเราแต่ไกลเหมือนภาพสีน้ำ ฮิฮิ"
"ยัยบ๊อง"
แล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับ
พ่อนักรบเอ๋ย สมรภูมินี้แกอาจไม่ได้เป็นต่อเหมือนเรื่องอื่นๆนะเว้ย...
...แกล้งอะไรมันอีกดี???
ประเด็นหนึ่ง
ระหว่างนั่งอยู่ในรถตู้สาธารณะที่วิ่งไป วิ่งไป กระโดดสายตาไปสำรวจคุ้ยเขี่ยว่าคนขับรถตู้คันนี้เขาวางอะไรไว้ด้านหน้ารถบ้าง
มีแบงค์พันรูปพระสงฆ์รูปหนึ่งแปะอยู่บนเพดาน มีป้ายคำว่าจตุจักร-ปากเกร็ดติดระบบไฟฟ้าให้สว่างในยามคืนได้
ฉันไล่สายตาไปทางขวา แทบจะตกสำรวจไปเพราะตำแหน่งมันไม่เด่น รูปสติ๊กเกอร์เชยเชย(เสียแล้วสำหรับปัจจุบัน)2รูปติดอยู่บนเพดานบนคนขับ คนในรูปเป็นเด็กน้อยสามคนยิ้มรื่นๆทำนองว่ายิ้มไปงั้นๆแหละ ก็มันเป็นpatternที่ทำกัน(เอ่อ นี่อาจเป็นการตีความไปเองของเราก็ได้นะเนี่ย เด็กเค้าอาจจะอยากยิ้มจริงๆ)
ฉันอยากร้องไห้ขึ้นมา
บทจะสะเทือนใจก็ด้วยสิ่งที่ผ่านหูผ่านตาชั่ววูบไหวเท่านี้เอง
ในโลกของการดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้อง โลกทุนนิยมที่เงินใหญ่คับปลิ้น คนขับรถนั้นตัวเล็กนิดเดียว โลกของคนขับรถก็อยู่แค่กับเส้นทางเดิมเดิม ถึงจตุจักรก็ขับไปปากเกร็ด ถึงปากเกร็ดก็กลับมาจตุจักร ขับวนมาแล้วก็วนไปจะเบื่อจะเอียนก็ต้องขับต่อไป และ ไม่มีใครมาใส่ใจว่าคนขับกำลังทำอะไร...ก็กำลังขับรถไง...นั่นไง เราใส่ใจแค่สิ่งที่คนขับทำแล้วมีผลกับตัวเราเท่านั้นเอง สักเข็มวินาทีหนึ่งเราก็ไม่เคยแบ่งไปคิดถึงคนขับว่าเอ้...เขาแบ่งเวรขับกันยังไง เขาได้พักกันตอนไหน ขับตอนกลางคืนเหงามั้ย..แม้จะนั่งรถร่วมกันเป็นชั่วโมงเราก็ไม่รู้สึกแปลกหน้ากับเขาน้อยลงเลย
แต่ในโลกของชีวิตที่เรียกว่าครอบครัว ความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่เสมอ
เสมอทั้งในแง่สม่ำเสมอและในแง่เสมอกัน
ฉันชอบความรักก็ตรงนี้แหละ ไม่มีอะไรมาจำกัดได้ จะเศรษฐีหรือยาจก จะล้นหรือจะขาด ความรักก็ไม่เคยตกอยู่ใต้เงื่อนไขใดๆ
ความรักที่ยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้นได้อย่างอิสระ
และยิ่งไปกว่านั้น ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกเป็นความรักที่น่าทึ่งจริงๆ
ความรักฉันท์สามีภรรยายังนอกใจกันได้ แต่ความรักลูกไม่ยักกะมีการนอกใจ
มีพ่อแม่คนไหนไปรักลูกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง???
อีกประเด็น(หลังจากเพิ่งซึ้งนิ่งๆกับรูปสติ๊กเกอร์ที่คาดว่าเป็นลูกของคนขับรถไป)
มีคำกล่าวชาหูที่ว่า รักแท้แพ้ระยะทาง
แต่สำหรับเรา ระยะทางทำให้ตระหนักถึงรักแท้...ที่มีมาตลอด
ที่คิดแบบนี้ก็ไม่ใช่ไรหรอก มาจากการห่างครอบครัวเท่านั้นเอง
นี้หละมั้งที่เค้าว่าอยู่ใกล้ไม่เห็น อยู่ไกลถึงจะเห็น
อยู่ใกล้เห็นแต่สิ่งไม่ดี อยู่ไกลกลับโหยหาแต่สิ่งดีๆที่เค้ามี
พออยู่ไกลแล้วรู้สึกรักและสำนึกพ่อแม่มากเลย...รักแท้หนอเป็นเช่นนี้
(สองเรื่องนี้รวมพลังกันแล้วทวีความอยากร้องไห้ขึ้นไปอีก T_T)
แล้วก็เลยมาเอ๊ะว่า รักแท้แพ้ระยะทาง???
รักแท้มันจะแพ้ระยะทางได้ไง ถ้างั้นมันก็ไม่ใช่รักแท้สิ
ดูขัดแย้งกันเอง
แต่ประโยคขัดแย้งแบบนี้ก็สื่อความได้ดี
เพราะประโยคนี้ที่จริงต้องการสื่อว่ารักที่เพียงระยะทางก็ถูกพรากไปนั้นไม่ใช่รักแท้
แต่รักที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าคงกระพันจากระยะทางก็บอกอะไรให้ตัวผู้รักเองเช่นกัน
หมายเหตุ ว่าจะวิพากษ์เรื่องโฆษณา hall ซักหน่อย แต่บิ้วอารมณ์เป็นโหมดรักใคร่ไปแล้ว
ค้างไว้ก่อน เรื่องรถติดด้วยอีกอัน อย่าลืมหละ
Saturday, November 04, 2006
การหายใจไม่ออกของหัวใจมีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่งว่ามาจาก
การฝืน
และที่หายใจไม่เข้าไม่ออกยิ่งกว่าคือการฝืนอีกทบหนึ่งว่าเราไม่ได้ฝืนสักหน่อย.
Thursday, November 02, 2006
+ แม่คงโกรธฉันจริงๆ
ฉันทำมือถือหาย และฉันก็ไม่อยากซื้อใหม่ด้วย แต่ด้วยความจำเป็นในกรณีที่แม่ต้องติดต่อฉัน ฉันเลยให้แม่โทรเข้าเครื่องเพื่อนในห้องแทน ประเด้นคงอยู่ตรงที่ว่าถึงฉันพยายามเลิกพึ่งมือถือแต่สุดท้ายฉันก็ต้องพึ่งมันอยู่ดี (เพียงแต่เป็นของเพื่อน) เลยทำให้แม่ไม่ชอบใจเพราะมันต้องรบกวนคนอื่น ฉันก็เข้าใจ + ทำมือถือหายก็ถือเป็นเงินหลายตังค์อยู่ ... เฮ้อ
ชีวิตฉันเหมือนลงเหวเลยนะตอนเนี้ย อะไรต่อมิอะไรที่ประสบช่วงนี้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นความโชคร้ายที่หลากหลาย... จนแค่คิดจะบ่นถึงมันให้หนำใจก็เหนื่อยซะก่อนแล้ว ... หมดแรงจะบ่น นึกถึงหนังที่ตัวเอก (หรือตัวโท ตรี..) ต้องประสบชะตากรรมที่เป็นอุปสรรคในรูปแบบต่างๆ จนเราคนดูก็คิดว่า เว่อร์จริงเว้ย อะไรมันจะทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนขนาดนั้น ชีวิตจริงหน่อยด้ายม๊าย~~~~~
เอ่อ ชีวิตจริงแล้วว่ะ
ทุกข์ทำนองนั้นเกิดขึ้นแล้วของจริงแล้ว ร้องไห้ไม่ออกเลย
จะบอกว่า แต่ละทุกข์ที่เกิดขึ้นมันไม่ค่อยสาหัสสากรรจ์มากหรอก บางเรื่องก็อับอาย บางเรื่องก็เหนื่อยล้า แต่เล่นมาเป็น combo set แบบนี้ rockman แปลงร่างใส่ชุดเกราะเพิ่มพลังพิเศษแล้ว popeye กินผักขมแล้ว ก็ซี้ม่องเท่งได้
+ ฉันเกลียดการทำหนังสือเดินทาง.
วันไหนข้างหน้า ฉันจะเกลียดมากกว่านี้น้อยกว่านี้ฉันไม่รู้ อยางน้อยฉันรู้ว่าวันนี้ (30 ตุลา)ฉันเกลียดเต็มขั้น
ดวงฉันคงไม่ถูกกับการทำเจ้าหนังสือนี่จริงจริงซะละมัง
+ ระหว่างอยู่บนรถเมล์วันนี้ ลองคิดเล่นถึงวิธีแก้ปัญหารถติด สำหรับประเทศที่ติดอันดับสาม(ประมาณนี้ถ้าจำไม่ผิด)รถติดที่สุดในโลก (เย้!)
ปัญหารถติดเนี่ยมันทำลายหลายหลายสิ่งเป็นว่าเล่น แต่ที่ฉันไม่ชอบใจที่สุดคือมันบั่นทอนความอดทนในยามที่น้ำอดน้ำทนเหือดแห้งเต็มที
ไม่อยากให้รถติดก็เอารถออกไปไง ในเมื่อเราจำเป็นต้องเดิน ทางรถก็ต้องมี แต่ปัญหามันคือรถเยอะเกินไปต่างหาก(ไม่ใช่เพราะถนนเล็ก แคบ เลนส์น้อย แล้วก็เที่ยวสร้างเที่ยวขยายถนนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด)
**พักเรื่องนี้สักครู่**
สับสน.
เธอหมายความเช่นนั้นหรือเธอ แสดง ว่าเธอหมายความเช่นนั้น
ลมปากเธอใยผิดแผกแตกต่างจากลมอื่นที่แว่วเข้าหูฉัน
หากเธอเพียงแสดง โอ้ เธอเจ้าบทบาทจริงๆ
หากเธอเพียงแสดง โอ้ เห็นทีฉันต้องฉลองความคงกระพ้นของ(โง่เง่า)เต่า(ตุ่น)ของฉันเสียแล้ว
ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งไป
ทำให้ฉันต้องมีน้ำโหจนกลายเป็นน้ำเน่ากล้ำกลืนอยู่ผู้เดียว
ทำไมฉันไม่สามารถเปิดอกเรื่องพวกนี้กับเธอซักที
ฉันรออะไร?ฉันเกรงอะไร?
ไม่ใช่ทั้งสอง
อาจเพราะความเจ้าบทบาทของเธอที่ละม้ายเหมือนจริง ซะจนฉันไม่สามารถเลือกข้างได้เลย
และเมื่อฉันไม่มั่นใจเลยว่าเธอเป็นอันไหนกันแน่ ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
และฉันก็กระอักกระอ่วนอยู่อย่างนี้
แก้ไม่ตก.
Archives
November 2005
December 2005
January 2006
February 2006
May 2006
June 2006
July 2006
August 2006
October 2006
November 2006
December 2006
January 2007
April 2007
May 2007
June 2007
July 2007
August 2007
September 2007
October 2007
November 2007
December 2007
January 2008
February 2008
January 2009
March 2009
April 2009
July 2009
August 2009
